ใครที่มีปัญหากลุ้มใจเรื่องกลิ่นตัว วันนี้ gangbeauty มาแนะนำ 35 วิธีที่จะช่วยคุณกำจัดกลิ่นกายให้หมดไปง่ายๆ เพียงคุณทำตามคำแนะนำต่อไปนี้ค่ะ !!!
1. อาบน้ำ ควรอาบน้ำให้สะอาดอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะประเทศไทยเป็นเมืองร้อน จึงทำให้มีเหงื่อไคลมากและจะต้องอาบอย่างทั่วถึงทุกซอกทุกมุมในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดอับชื้นหรือตามข้อพับ และใช้สครับรักแร้อาทิตย์ละ 3 ครั้ง วิธีนี้เป็นเรื่องง่ายและสำคัญที่สุด ซึ่งวิธีกำจัดกลิ่นตัวที่ได้ผลมากที่สุด แต่หลายๆ คนกลับละเลยเรื่องนี้ โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่ชอบเล่นกีฬาช่วงเย็น ก็ควรจะอาบน้ำหลังเล่นกีฬาเพื่อเป็นการล้างเหงื่อไคล และอาบอีกครั้งก่อนเข้านอน
2. เลือกใช้สบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียโดยตรง และเน้นฟอกบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อเพื่อขจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดกลิ่น แต่ในกรณีที่อาบน้ำดีแล้วยังมีกลิ่นตัวอยู่ ก็ต้องแก้ไขโดยทำให้เหงื่อหรือไขมันออกน้อยลง (ซึ่งจะกล่าวในข้อถัดไป) อีกทางหนึ่งก็คือการทำลายเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคที่ผิวหนัง เช่น การใช้สบู่ผสมยาฆ่าเชื้อหรือการทายาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อรา และในบางรายอาจต้องใช้การรับประทานยาร่วมด้วย
3. ปัสสาวะ หลังปัสสาวะหรืออุจจาระแล้วควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเช็ดให้แห้ง
4. ประจำเดือน สำหรับสตรีเมื่อมีประจำเดือนควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเปลี่ยนผ้าอนามัยอยู่เสมอๆ
5. โกนขน โกนขนนี้แหละช่วยได้ ! ไม่ว่าจะเป็นขนรักแร้ของผู้หญิง หรือผู้ชายบางคนจะมีขนขึ้นยาวทั้งตัว ตั้งแต่แผงอกไล่ลงมารกทึบยันขนหน้าแข้ง เพราะป่าย่อมๆ นี้ก็เป็นบ่อเกิดของการสะสมเชื้อแบคทีเรียจนเกิดกลิ่นได้
6. พยายามอย่าให้เหงื่อออก หากคุณรู้ตัวว่าเป็นคนที่เหงื่อออกง่ายหรือออกมากอยู่แล้ว ก็ควรจะระวังอย่าให้เหงื่อออก ให้เลือกอยู่ในสถานที่ที่มีอากาศถ่ายเทมากๆ ไม่งั้นลมโชยมาทีคนรอบข้างอาจสลบเพราะกลิ่นเปรี้ยวของคุณก็ได้
7. เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกวัน รวมถึงชุดชั้นในและถุงเท้าด้วย เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ในระหว่างวันจะถูกดูดซับไปด้วยเหงื่อและแบคทีเรียต่างๆ หากเราใส่เสื้อชุดเดิมโดยไม่นำไปซักทำความสะอาดเสียก่อน ก็จะทำให้เกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ แม้ว่าเราจะอาบน้ำสะอาดเอี่ยมแล้วก็ตาม
8. เลือกใส่เสื้อผ้าให้หลวมขึ้น เสื้อผ้าที่คับพอดีตัวจะทำให้มีเหงื่อออกมากและมีการระบายอากาศได้ไม่ดี จนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ทางที่ดีคุณควรเลือกขนาดเสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่เมื่อสวมใส่แล้วเคลื่อนไหวร่างกายได้สะดวกสบาย มีช่องว่างเหลือระหว่างร่างกายและเสื้อผ้าบ้าง
9. เลือกใช้เนื้อผ้าจากธรรมชาติ เสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่นั้นก็เกี่ยวข้องกับการเกิดกลิ่นตัวเช่นกัน โดยเส้นใยจากธรรมชาติอย่างคอตตอนและลินิน จะช่วยระบายอากาศได้ดีกว่าใยสังเคราะห์อย่างไนลอน และที่สำคัญเส้นใยธรรมชาติเมื่อใส่แล้วยังทำให้เย็นสบายตัวได้อีกด้วย
10. ทำความสะอาดเสื้อผ้าให้ดี โดยเฉพาะเสื้อตัวที่มีกลิ่นติดอยู่ ให้ซักด้วยวิธีการซักมือและเน้นซักบริเวณใต้วงแขนหรือรักแร้ทั้งสองข้างให้สะอาดและไม่มีกลิ่น ส่วนเสื้อผ้าที่ไม่มีกลิ่นก็ให้ซักด้วยเครื่องซักผ้าตามปกติ และไม่ควรใส่ผ้าจนแน่นเกินไป ส่วนตอนตากผ้าก็ควรตากที่ในโล่งโปร่งและตากให้แห้งสนิท
11. ผ้าขนหนูช่วยได้ โดยให้หาผ้าขนหนูหรือผ้าเช็ดหน้ามาชุบน้ำแล้วบิดให้หมาด หยดน้ำหอมลงไปเล็กน้อย แล้วนำมาเช็ดตามร่างกาย ใต้วงแขน ข้อพับ และแผ่นหลังให้ทั่ว วิธีนี้นอกจากจะช่วยขจัดกลิ่นแล้วยังช่วยทำให้คุณรู้สึกสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ
12. ไม่ควรขัดผิวบ่อยๆ เพราะการขัดผิวจะทำให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อร่างกายถูกทำลาย ทำให้เกิดกลิ่นตัวง่าย (ให้ขัดผิว 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ)
13. ผ่อนคลายความเครียด ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่าอารมณ์มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ ดังนั้นคุณจึงควรหาอะไรทำเพื่อผ่อนคลายความเครียดซะบ้าง
14. เลือกรับประทานอาหารให้หลากหลายและมีประโยชน์ รับประทานโปรตีนจำพวกธัญพืชต่างๆ ผักสดทั้งผักใบเขียวและใบเหลือง ผลไม้สด โดยเฉพาะแก้วมังกร รวมไปถึงอาหารที่มีธาตุสังกะสีหรือแมกนีเซียม เช่น ข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท และอาหารทะเล
15. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง อาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เช่น แกงกะหรี่ กระเทียม ชะอม สะตอ ทุเรียน เครื่องเทศต่างๆ หมู ไก่ ไข่ ตับ รวมทั้งช็อกโกแลต ลูกเกด ถั่วลิสง หรือเลือกรับประทานให้พอเหมาะ ไม่รับประทานมากจนเกินไป
16. ดีทอกซ์ (Detox) สารพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดกลิ่นตัวได้เหมือนกัน การดีทอกซ์เป็นประจำก็อาจจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้
17. แป้งดับกลิ่นตัว ที่นิยมกันมากจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อ คือ แป้งตราเต่าเหยียบโลก และ แป้งสะอาด โดยการนำมาใช้ทาให้ทั่วหลังอาบน้ำเสร็จ โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ที่ให้เน้นทาเป็นพิเศษหน่อย เพราะเป็นจุดอับที่เป็นตัวแพร่ขยายของแบคทีเรียได้ สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป
18. น้ำหอม โรลออน สเปรย์ระงับกลิ่นตัว โดยให้ใช้ฉีดหรือทาให้ทั่วร่างกายเพื่อระงับกลิ่น โดยเฉพาะบริเวณหน้าอกก่อนไปทำงานทุกเช้าก็ช่วยได้
19. น้ำยาระงับกลิ่นกาย หรือ ดีโอโดแรนท์ (Deodorant) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ก็นิยมกันมาก โดยน้ำยาระงับกลิ่นกายเป็นสารเคมีที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ เพราะกลิ่นกายเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้ามาผสมกับเหงื่อ หากเราใช้น้ำยาระงับกลิ่นกายที่มีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย กระบวนการที่ทำให้เกิดกลิ่นก็จะไม่เกิดขึ้น และน้ำยาระงับกลิ่นกายบางยี่ห้อยังมีสารระงับเหงื่อที่ผสมอยู่ด้วย ซึ่งจะช่วยเข้าไปจัดการกับเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา ทำให้เราไม่มีกลิ่นกาย นอกจากนี้น้ำยาระงับกลิ่นกายทั้งหลายก็มักจะใส่น้ำหอมเข้าไปด้วย ทำให้เรามีกลิ่นตัวหอมๆ แทนกลิ่นเหงื่อและกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ (ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้เปลี่ยนยี่ห้อหรือสูตรน้ำยาระงับกลิ่นกายทุกๆ 6 เดือน เนื่องจากร่างกายสามารถต่อต้านสารระงับเหงื่อเหล่านั้นได้) แต่สำหรับบางคนอาจทำให้เกิดอาการแพ้และทำให้เกิดผื่นดำได้
20. ยาระงับเหงื่อ หรือ แอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ให้เลือกใช้แบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม (ที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไปมักมีส่วนผสมของน้ำหอม) เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ดำจากผื่นได้ โดยยาทาชนิดนี้จะไปทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ ทางที่ดีคุณควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อ
21. สารสกัดจากธรรมชาติ น้ำมันสกัดจากพืชหลายชนิดและสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิดก็มีสรรพคุณระงับกลิ่นกายได้เช่นกัน ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้หรือทำน้ำยาระงับกลิ่นกายจากสารสกัดธรรมชาติเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองอย่างสารส้มสามารถช่วยระงับกลิ่นกายได้อย่างอยู่หมัด หรือจะใช้สารส้มสะตุนำมาผสมกับพิมเสนอย่างละเท่าๆ กัน บดให้ละเอียด แล้วผสมแป้งฝุ่นหรือดินสอพอง หยดน้ำลงไปนิดหน่อย แล้วนำมาใช้ทารักแร้
22. วิตามินและแร่ธาตุ ก็ช่วยต้านกลิ่นตัวได้ เช่น วิตามินซีที่ช่วยผ่อนคลายความเครียด ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นตัว หรือเลือกรับประทานวิตามินบี 1 ปริมาณ 50 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง และให้ลดลงเหลือ 20-30 มิลลิกรัม เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นแล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อควบคุมอาการ, รับประทานวิตามินบีคอมเพล็กซ์ 25,000 I.U. หนึ่งวันต่อสัปดาห์ นอกจากนี้วิตามินบี 6 สังกะสี และแมกนีเซียมก็ช่วยได้เช่นกัน โดยให้เลือกรับประทานอาหารเสริมที่มีแร่ธาตุเหล่านี้ก็สามารถช่วยระงับกลิ่นตัวได้เช่นกัน
23. ปูนแดง ก็ใช้ลดกลิ่นตัวได้ ด้วยการใช้ปูนแดงผสมกับน้ำทารักแร้หลังอาบน้ำ หรือจะใช้ปูนแดงและใบตำลึงนำมาตำผสมกัน ใช้พอกรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาทีแล้วล้างออก ซึ่งความเป็นด่างของปูนแดงจะช่วยปรับภาวะกรดในร่างกายที่ขับแบคทีเรียออกมาบนผิวได้ แต่ก็อย่าใช้ปูนแดงในปริมาณที่มากจนเกินไปล่ะ เพราะจะกัดผิวได้ หากทำเป็นประจำกลิ่นตัวก็จะหายไปอย่างถาวร (เขาว่างั้นนะ) อีกทั้งยังทำให้ขนรักแร้ลดน้อยลงอีกด้วย
24. เบคกิ้งโซดาหรือผงฟู ก็ช่วยขจัดกลิ่นตัวได้ โดยให้นำเบคกิ้งโซดามาผสมกับน้ำเล็กน้อยให้พอข้น แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออก โดยเบคกิ้งโซดาจะช่วยลดกลิ่น ทำลายแบคทีเรีย และขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ด้วย
25. น้ำสกัดจากใบสะระแหน่ ลองไปหาซื้อน้ำสกัดใบสะระแหน่มาผสมกับน้ำเปล่า แล้วลงไปแช่ดูสักประมาณ 10 นาที ซึ่งน้ำมันสกัดจากใบสะระแหน่นี้จะมีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าและขจัดกลิ่นตัวได้ดี
26. สมุนไพรดับกลิ่นตัว ผักสมุนไพรที่ช่วยระงับกลิ่นกายได้มีอยู่หลายชนิด เช่น การรับประทานผักแขยงแบบสดๆ, การรับประทานผักกวางตุ้ง, การใช้น้ำมันพิมเสนต้น (Patchouli oil) ผสมกับน้ำอาบ, ใช้ข่อยขัดรักแร้, ใช้ใบพลูหรือใบฝรั่งนำมาโขลกให้ละเอียด แล้วนำมาทาบริเวณรักแร้ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วอาบน้ำล้างออกให้สะอาด หรือจะใช้มะขามเปียกหรือมะนาวแทนก็ได้ หรือจะใช้มะเขือเทศขนาดเท่าผลส้มเขียวหวานประมาณ 5 ผล ใส่น้ำ 2 แก้วปั่นในเครื่องปั่นให้ละเอียด แล้วใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำมาเทผสมกับน้ำในอ่างอาบ โดยให้ลงไปแช่ประมาณครึ่งชั่วโมง หากทำเป็นประจำก็จะช่วยลดกลิ่นตัวให้เหลือน้อยลงได้ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอื่นๆ อีกหลายชนิดที่ช่วยลดกลิ่นตัวได้ เช่น รากสามสิบ, ใบขลู่สด (Pluchea indica Less.), เถาและใบตำลึง หรือแม้แต่คลอโรฟิลล์ เป็นต้น
27. สารส้ม (Focal) ของดีจากธรรมชาติที่ช่วยดับกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ใต้วงแขนได้อย่างดีเยี่ยม มีทั้งแบบก้อน (ดั้งเดิม), แบบแท่ง, แบบผง, แบบน้ำ, แบบสเปรย์ ใช้หลังอาบน้ำดับกลิ่นได้สุดยอดนัก อีกทั้งยังช่วยทำให้รักแร้ขาวด้วยนะเออ (แต่บางคนใช้แล้วรักแร้ดำก็มีนะครับ) ใครแพ้น้ำหอม แพ้โรลออน แพ้เต่าเหยียบโลก ไปซื้อมาลองใช้ดูครับ ไม่ผิดหวังแน่นอน !!
28. การอบสมุนไพรและอาบน้ำสมุนไพร ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดและระงับกลิ่นตัวได้ ไม่เชื่อลองดู
29. โบทอกซ์ (Botox) สำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงมากจนน้ำหอมหรือผลิตภัณฑ์กำจัดกลิ่นเอาไม่อยู่ คุณอาจจะต้องปรึกษาหมอโรคผิวหนังเกี่ยวกับวิธีการรักษาโดยตรง ซึ่งการรักษาด้วยวิธีการฉีดโบทอกซ์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ ที่สามารถช่วยลดเหงื่อบริเวณรักแร้ได้ดี โดยวิธีนี้จะไปช่วยยับยั้งสารที่หลั่งออกมาควบคุมระบบประสาทที่ทำให้เกิดการหลั่งของเหงื่อ เพราะฤทธิ์ยาจะช่วยให้ขับเหงื่อน้อยลง โดยสามารถลดเหงื่อได้มากถึง 83% ส่งผลให้มีกลิ่นตัวลดลง แต่จะต้องฉีดยาซ้ำเรื่อยๆ ทุก 3-6 เดือน ราคาทำต่อครั้งก็ประมาณ 10,000 บาทขึ้นไป
30. miraDry ทางเลือกใหม่ที่รักษาโดยใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย miraDry คือการใช้ปืนไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขนอย่างถาวร โดยวิธีนี้จะออกแบบมาเพื่อใช้กับต่อมเหงื่อใต้วงแขนหรือรักแร้เท่านั้น ซึ่งจะไม่ส่งผลเสียกับคุณอย่างแน่นอน โดยเฉพาะสำหรับสาวๆ ซึ่งไม่เพียงแต่วิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องกลิ่นเหงื่อใต้วงแขนได้แล้ว ยังช่วยกำจัดขนรักแร้ใต้วงแขนได้อีกด้วย
31. คลื่นความถี่วิทยุ (Radio Frequency: RF) มีกลไกการทำงานโดยการใช้คลื่นความถี่วิทยุเข้าไปทำลายต่อมกลิ่นและต่อมเหงื่อให้หยุดการทำงานอย่างถาวร และการปล่อยคลื่น RF เข้าไปรักษานี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้วผิวหนัง ทำให้ผิวตึงกระชับและมีความยืดหยุ่นได้อีกด้วย โดยจะช่วยลดเหงื่อและการเกิดกลิ่นได้
32. ไอออนโต (Iontophoresis) การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า วิธีนี้สามารถรักษาภาวะเหงื่อออกมาจากฝ่ามือและฝ่าเท้าได้พอสมควร โดยการใช้มือแช่น้ำแล้วผ่านกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ประมาณ 30 นาทีต่อครั้ง แต่ผลการรักษาจะไม่อยู่ถาวร และต้องทำซ้ำหลายครั้งๆ
33. เลเซอร์ YAG เป็นเลเซอร์ที่ถูกมาใช้กำจัดขนรักแร้เป็นหลัก มีผลพลอยได้คือช่วยกำจัดกลิ่นรักแร้ ราคาทำครั้งละประมาณ 5,000 บาท และต้องทำประมาณ 5-6 ครั้งขึ้นไป เพื่อผลในการรักษาที่ชัดเจน
34. สำหรับผู้ที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็น Fish-Malodor Syndrome (FOS ) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่เป็นได้ทั้งหญิงและชาย อาการที่เห็นได้ชัดคือมีกลิ่นตัวเหม็นเหมือนปลาเน่า ลมหายใจและน้ำลายมีกลิ่นเหม็น สามารถลดกลิ่นเหม็นดังกล่าวได้โดยการพยายามลดอาหารที่มีโคลีนสูง รักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น metronidazole (Flagyl) เพื่อไปยับยั้งการทำงานของแบคทีเรีย แต่วิธีนี้อาจจะเสี่ยงต่อการแพ้ยาได้ สำหรับวิธีที่ดีที่สุดที่หลายสถาบันกำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ก็คือการตัดต่อยีน เพื่อเร่งให้ร่างกายสามารถผลิต FMO3 ให้ทำงานได้เช่นปกติ
35. ผู้ที่มีปัญหากลิ่นตัวมากจนเกินเยียวยา แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อตัดต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งจะได้ผลดี แต่อาจทำให้เกิดแผลได้ ส่วนแพทย์บางท่านอาจแนะนำให้ผ่าตัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังออก หรือดูดไขมันบริเวณรักแร้ออก
ภาพปกประกอบจาก : pinterest/ilovehomeremedy,pinterest/wikiHow