การฉีดสลายฟิลเลอร์ เป็นวิธีที่ใช้แก้ไขปัญหาหลังจากฉีดฟิลเลอร์ไปแล้วไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดก้อน การบวม หรือผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจ ในบทความนี้จะพาไปรู้จักกับขั้นตอนและข้อควรรู้เกี่ยวกับการฉีดสลายฟิลเลอร์อย่างละเอียด

ฉีดสลายฟิลเลอร์ คืออะไร ?

ฉีดสลายฟิลเลอร์ (Dissolving Filler) คือวิธีการใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase : HYAL) ฉีดเข้าใต้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพื่อทำลายการยึดเกาะของโมเลกุลฟิลเลอร์ โดยไฮยาลูโรนิเดสจะเข้าไปลด

การกักเก็บน้ำและไขมัน ทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวลง และผิวจะกลับคืนสู่สภาพเดิมที่ใกล้เคียงกับตอนก่อนฉีดฟิลเลอร์

ทั้งนี้ การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยไฮยาลูโรนิเดส จะสลายได้เฉพาะฟิลเลอร์ประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งเป็นฟิลเลอร์แท้เท่านั้น

ทำไมต้องฉีดสลายฟิลเลอร์ ?

การตัดสินใจฉีดสลายฟิลเลอร์จะขึ้นอยู่กับหลายสาเหตุ เช่น

  • ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน : ทำให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน
  • ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามต้องการ : ฉีดฟิลเลอร์แล้วไม่พึงพอใจในผลลัพธ์ ไม่ชอบ ไม่สวย
  • ใบหน้าดูแข็ง ไม่ละมุน : ฉีดฟิลเลอร์แล้วหน้าแข็ง ไม่ละมุน ดูไม่เป็นธรรมชาติ

ปัญหาเหล่านี้มักเกิดจากการฉีดฟิลเลอร์กับแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ ขาดความชำนาญ ไม่รู้เทคนิคการฉีด รวมถึงเลือกยี่ห้อ รุ่น และปริมาณฟิลเลอร์ที่ใช้ไม่เหมาะสมกับปัญหา ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ ดังนั้น เมื่อเกิดปัญหาข้างต้นจะต้องทำการแก้ไขรักษาโดยการฉีดสลายฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์สามารถสลายเองได้หรือไม่ ?

โดยทั่วไป ฟิลเลอร์แท้ที่เป็นไฮยาลูโรนิก แอซิด จะสามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในร่างกาย ซึ่งผลลัพธ์หลังฉีดฟิลเลอร์ มีระยะเวลาอยู่ได้ตั้งแต่ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อ ปริมาณที่ฉีด และตำแหน่งที่ฉีด

แต่ถ้าเป็นฟิลเลอร์ถาวร (Permanent Filler) เช่น ซิลิโคน หรือพาราฟิน ฟิลเลอร์ชนิดนี้จะฝังอยู่ในชั้นผิวอย่างถาวร ไม่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ และไม่สามารถฉีดสลายฟิลเลอร์ได้ หากเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ จำเป็นต้องใช้วิธีการผ่าตัดหรือขูดฟิลเลอร์เพื่อนำออกเท่านั้น

ฉีดสลายฟิลเลอร์อันตรายไหม ?

การฉีดสลายฟิลเลอร์ ถือว่าปลอดภัยหากใช้ไฮยาลูโรนิเดสที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน แต่มีสิ่งที่ควรระวังคือ การใช้ปริมาณยา เพราะหากฉีดสารไฮยาลูโรนิเดสในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ฟิลเลอร์สลายเกินความจำเป็น และอาจทำอันตรายต่อชั้นผิวหรือสลายคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมได้ ดังนั้นจึงควรเลือกฉีดสลายฟิลเลอร์กับแพทย์ที่มีประสบการณ์ภายใต้คลินิกที่ได้มาตรฐาน

ข้อควรรู้ก่อนฉีดสลายฟิลเลอร์

  • ก่อนตัดสินใจฉีดสลายฟิลเลอร์ มีหลายสิ่งที่คุณควรรู้เพื่อเตรียมตัวให้พร้อม ดังนี้
  • การฉีดสลายฟิลเลอร์จะสามารถสลายได้เฉพาะฟิลเลอร์แท้ประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เท่านั้น
  • ระยะเวลาในการสลายฟิลเลอร์ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ที่ใช้ ซึ่งแต่ละรุ่นมีขนาดโมเลกุลที่แตกต่างกัน โดยฟิลเลอร์เนื้อละเอียดจะสลายได้เร็วที่สุด
  • ต้องแจ้งข้อมูลการฉีดฟิลเลอร์ที่เคยฉีดไว้ให้แพทย์ทราบ ทั้งยี่ห้อฟิลเลอร์ รุ่นฟิลเลอร์ ปริมาณที่ฉีด ตำแหน่ง และระยะเวลาที่ฉีดมา
  • แพทย์จะเป็นผู้คำนวณปริมาณไฮยาลูนิเดสที่เหมาะสมสำหรับแต่ละเคส เพื่อให้ฟิลเลอร์สลายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

ข้อดี-ข้อเสียของการฉีดสลายฟิลเลอร์

ข้อดี

การฉีดสลายฟิลเลอร์มีข้อดีที่ช่วยแก้ไขปัญหาจากการฉีดฟิลเลอร์เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • สลายฟิลเลอร์ที่เคยฉีดมาก่อน : ช่วยให้ผิวกลับคืนสภาพเดิม หรือใกล้เคียงผิวก่อนฉีดฟิลเลอร์มากที่สุด
  • แก้ไขผลลัพธ์ที่ไม่พึงพอใจ : ช่วยแก้ไขผลลัพธ์ที่ไม่ตรงตามความต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  • ฟื้นฟูความเป็นธรรมชาติของใบหน้า : ทำให้ใบหน้าดูละมุน ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น

ข้อเสีย

การฉีดสลายฟิลเลอร์มีข้อควรพิจารณาที่ต้องระวัง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • สลายฟิลเลอร์เกินความจำเป็น : หากฉีดไฮยาลูโรนิเดสมากเกินไป อาจทำลายคอลลาเจนเดิมบริเวณชั้นผิวหนังที่ทำการฉีด และส่งผลต่อรูปหน้า
  • อาการแพ้ : บางคนอาจมีอาการแพ้ไฮยาลูโรนิเดส เกิดอาการบวม แดง คัน ในบริเวณที่ฉีด สามารถใช้ยาแก้แพ้หรือประคบเย็นได้

ขั้นตอนการฉีดสลายฟิลเลอร์

กระบวนการฉีดสลายฟิลเลอร์ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้

  1. แพทย์สอบถามยี่ห้อฟิลเลอร์ และปริมาณ CC ที่ฉีดไปก่อนหน้านี้
  2. แพทย์คำนวณปริมาณยาสำหรับการฉีดสลายฟิลเลอร์ให้เหมาะสมกับปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีด
  3. ฉีดสารไฮยาลูโรนิเดสในจุดที่ต้องการสลายฟิลเลอร์
  4. ฟิลเลอร์จะเริ่มสลายทันทีหลังฉีด และตัวยาสลายฟิลเลอร์สามารถออกฤทธิ์ได้นานถึง 48 ชั่วโมง
  5. แพทย์จะนัดติดตามผล และหากฟิลเลอร์ยังไม่สลายหมด อาจจำเป็นต้องฉีดซ้ำเพื่อให้ผลลัพธ์สมบูรณ์

การดูแลหลังฉีดสลายฟิลเลอร์

เพื่อให้ผลลัพธ์ของการฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นไปตามที่คาดหวัง การดูแลตัวเองหลังจากการฉีดเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือกดบนบริเวณที่ฉีด : เพื่อป้องกันการเคลื่อนตัวของสารสลายฟิลเลอร์และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • นัดติดตามผลกับแพทย์ : เพื่อประเมินว่าฟิลเลอร์ได้สลายหมดตามที่ต้องการหรือยัง และหากจำเป็นอาจต้องฉีดซ้ำ
  • สังเกตอาการแพ้ : หากพบปฏิกิริยาทางผิวหนังที่รุนแรง เช่น บวม แดง หรือระคายเคือง ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเพื่อรับการดูแลที่เหมาะสม

ฉีดสลายฟิลเลอร์ กี่วันเห็นผล ?

หลังจากการฉีดสลายฟิลเลอร์ 15-20 นาทีแรก ตัวยาไฮยาลูโรนิเดสจะเริ่มออกฤทธิ์ทันทีต่อเนื่องไปจนถึง 48 ชั่วโมง ฟิลเลอร์ที่ฉีดไว้อยู่ในบริเวณนั้นจะเริ่มสลายไปประมาณ 60-70% และจะยุบตัวลงสลายไปเรื่อย ๆ จนเห็นผลเต็มที่ในช่วง 2 วัน

ฉีดสลายฟิลเลอร์ หน้าจะเหี่ยวลงไหม ?

ความกังวลเรื่องใบหน้าเหี่ยวลงหลังจากการฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย แต่ในความเป็นจริง หากการฉีดสลายฟิลเลอร์ดำเนินการโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดสลายฟิลเลอร์และใช้ปริมาณไฮยาลูโรนิเดสที่เหมาะสม จะไม่ส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อรอบ ๆ บริเวณที่ฉีด และจะไม่ทำให้ผิวหน้าเหี่ยวลง

ฉีดสลายฟิลเลอร์ ต้องฉีดกี่ครั้ง ? ฉีดซ้ำอีกได้ไหม ?

การฉีดสลายฟิลเลอร์มักจะสามารถสลายฟิลเลอร์ได้หมดในครั้งเดียว แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณฟิลเลอร์ที่ฉีดมาและการประเมินของแพทย์ หลังจากการฉีดครั้งแรก แพทย์จะนัดติดตามผลเพื่อดูว่าฟิลเลอร์สลายหมดหรือไม่

หากยังมีฟิลเลอร์หลงเหลืออยู่ สามารถฉีดซ้ำอีกครั้งได้ โดยแพทย์จะประเมินและฉีดสารสลายในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อให้ฟิลเลอร์สลายไปอย่างสมบูรณ์ โดยไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อรอบข้าง

หลังฉีดสลายฟิลเลอร์ จะฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ไหม รอกี่วัน ?

หลังจากฉีดสลายฟิลเลอร์แล้ว สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ แต่ควรให้ผิวหนังได้พักและฟื้นฟูสภาพก่อนที่จะฉีดฟิลเลอร์ใหม่ โดยควรเว้นระยะเวลาประมาณ 5-7 วัน เพื่อให้ตัวยาสลายฟิลเลอร์ออกฤทธิ์จนหมดและเนื้อเยื่อผิวหนังเริ่มกลับมาเข้าที่

สรุปเรื่องของ ฉีดสลายฟิลเลอร์

การฉีดสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์ไฮยาสูนิเดส สามารถสลายฟิลเลอร์แท้ที่เป็นไฮยาลูโรนิก แอซิด ซึ่งจะใช้ในกรณีฉีดฟิลเลอร์แล้วผลลัพธ์ไม่สวยตามที่ต้องการ ฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อน ผิวไม่เรียบเนียน ดูไม่เป็นธรรมชาติ แต่ไม่สามารถสลายฟิลเลอร์ปลอมได้

ดังนั้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์แท้กับคลินิกที่ได้มาตรฐานและแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังและไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการแก้ไข